สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยออกมาเตือนประชาชนอีกครั้ง หลังกระแสการฉีดสารทำให้ผิวขาว ยังระบาดไม่หยุด พร้อมฝังรากลึกในสังคมไทย โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและคนทำงานรุ่นใหม่ ที่มีพฤติกรรมคิดว่าผิวขาวคือคนสวย และจะประสบความสำเร็จมากกว่าผู้อื่นนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขประกาศห้ามไม่ให้แพทย์ใช้การรักษาด้วยวิธีนี้
ผศ. พญ. สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากความรู้ที่ว่าสารกลูต้าไธโอนที่ทางการแพทย์ใช้รักษาโรคอื่น ๆ เมื่อใช้ไปแล้วจะทำให้ผิวขาวขึ้น จึงมีผู้นำมาใช้ฉีดให้ผิวขาว โดยมีการโฆษณาเกินความจริงว่า เมื่อฉีดแล้วผิวจะขาวกระจ่างใสเหมือนกับมีแสงออร่า ความจริงคืออะไร และล่าสุดมีการแชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพื่อเตือนภัยถึงการทำสีผิวขาว โดยมีนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งกินและฉีดยากลูต้าไธโอน จนถึงขั้นตับพัง หายใจเองไม่ได้ ทั้งนี้จากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคนในสังคมออนไลน์ต่างรับรู้กันทั่วว่า มีการโฆษณาขายสารทำผิวขาวกันอย่างแพร่หลายและมีหญิงสาวหลายคนตกเป็นเหยื่อหลายรายแล้ว กลูต้าฉีด
ผศ. พญ. สุวิรากรกล่าวว่า กลูต้าไธโอน (Glutathinone) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกายที่สามารถสร้างขึ้นเองจากอาหาร ประเภทโปรตีน ไข่ และนม รวมถึงผลไม้ประเภท อะโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับ สามารถพบได้ทุกเซลล์ในร่างกาย เป็นสารที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid โดยมีหน้าที่หลักอยู่ 3 ประการ คือ
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) โดยมีสารต้านปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่น ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไปวิตามินซีและอีอาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
- ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิด เพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA ด้วย และ
- ช่วยในการขจัดสารพิษ (Detoxification) ช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในการกำจัดพิษออกจากร่างกาย โดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ และการรับประทานยาพาราเซตามอลที่เกินขนาด เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น