คือ รองเท้าหนังส้นเตี้ย ที่ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ.1930 มีประวัติที่น่าสนใจไม่ใช่เล่นเลยล่ะ เริ่มจากในสมัยนั้นชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์ มักจะสวมรองเท้าหนังที่มีเชือก ออกไปรีดนมวัว ต่อมาได้มีการพัฒนารองเท้าแบบเดิมโดยการนำส่วนที่เป็นเชือกออกไป แล้วเรียกชื่อว่า Loafers มีที่มาจากคำว่า “Loafed” ที่แปลว่าเดินเรื่อยเปื่อยทอดน่อง เหมือนกับวัวในฟาร์มของชาวไร่เหล่านั้น ในยุคเเรกๆจะนิยมเป็นทรง “Penny Loafers” ที่มีช่องสำหรับใส่เหรียญเพนนี่ด้วย เพื่อพกไปใช้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะนั่นเอง loafer ผู้หญิง
รองเท้า loafer ดั้งเดิมแล้วเป็นรองเท้าของผู้ชาย แต่ต่อมาก็พัฒนาและปรับปรุงดีไซน์ให้เหมาะสมกับผู้หญิงมากขึ้น กลายเป็นรองเท้าอีกประเภทที่ผู้หญิงนิยมใส่กัน สามารถ Mix & Match ออกมาได้ลุคที่หลากหลาย ดูสุภาพเรียบร้อย และ ดูมีสไตล์ได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังค่อนข้างทนทาน ดูแลรักษาไม่ยากมากนัก เพียงแค่เช็ดทำความสะอาดบ่อยๆก็เพียงพอ
สรุปคือลักษณะเด่นของรองเท้าชนิดนี้ ได้แก่ ไม่มีเชือก (ถ้ามีเชือกจะเรียกว่า Oxford Shoes) , ทำจากหนัง ชนิดต่างๆ เช่น หนังวัว หนังแก้ว หนังกลับ ซึ่งปัจจุบันก็มีการใช้วัสดุและดีไซน์ที่หลากหลาย ดูแฟชั่นมากขึ้น , มีส้นรองเท้าที่แบนราบ สูงขึ้นมาเล็กน้อย ไม่เตี้ยเท่า Flat Shoes โดยสามารแบ่งประเภทไปได้อีกมากมายตามรูปด้านล่างนี้
ทำไมอยู่ดีๆกลับมาฮอต ?
จุดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ “Gucci” เลย ถือเป็นผู้ปลุกกระแสเทรนด์นี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการออกไอเท็ม โลฟเฟอร์ดีไซน์เก๋ที่สร้างเสียงฮือฮาไปทั่ววงการแฟชั่นในรันเวย์ Spring’16 ที่ผ่านมา และยังฮิตต่อเนื่องมาถึงตอนนี้ ดาราเซเลป และแฟชั่นนิสต้าใส่กันเพียบ คนทั่วไปจึงหามาใส่ตามกันรัวๆ ของกุชชี่เองบ้าง ของแบรนด์อื่นบ้าง แต่ละแบรนด์ต่างก็ปล่อยไอเท็มมาตามกระแสกับเค้าเหมือนกัน ทำให้เทรนด์นี้แพร่ระบาดไปทั่วนั่นเองค่ะ
ดเด่นที่ทำให้รองเท้าของ Gucci เป็นกระแสโดดเด่นนั้นหนีไม้พ้นซิกเนเจอร์ของแบรนด์อย่าง อะไหล่ทองรูป Horsebit แปลเป็นไทยก็คงคล้ายๆ “ห่วงรัดปากม้า” 1 ใน 3 ซิกเนเจอร์ของแบรนด์นี้ ที่เข้ากันได้อย่างลงตัวกับหนังสีดำมันเงา ดูหรูหราสุดๆ รวมถึงดีไซน์แปลกใหม่อย่างงานปักต่างๆ และ โลฟเฟอร์แบบเปิดส้นเท้า หรือ “Backless” นี่ก็มาแรงแซงทางโค้ง แบรนด์อื่นๆแห่ทำตามกันรัวๆ
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น